เต่าบกเป็นกลุ่มสัตว์เลื้อยคลานที่มีลักษณะพิเศษคือกระดองหนาแข็งและขาสั้นแข็งแรง พวกมันมีถิ่นกำเนิดในแหล่งที่อยู่อาศัยที่หลากหลาย รวมถึงป่า ทุ่งหญ้า ทะเลทราย และพื้นที่ชุ่มน้ำ และพบได้ในทุกทวีปยกเว้นแอนตาร์กติกา เต่าบกมีหลายชนิด ตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ และมีลักษณะทางกายภาพและพฤติกรรมที่หลากหลาย เต่าบกขึ้นชื่อเรื่องการเคลื่อนไหวที่เชื่องช้าและอายุขัยที่ยืนยาว และหลายชนิดนิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงเนื่องจากธรรมชาติที่บึกบึนและต้องการการดูแลที่ค่อนข้างง่าย เต่าบกยังมีความสำคัญทางนิเวศวิทยา เนื่องจากพวกมันมีบทบาทในการกระจายเมล็ดพืชและการเติมอากาศในแหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของพวกมัน
1. เต่ารัสเซีย (Agrionemys horsfieldii)
ลักษณะทางกายภาพ: ขนาดลำตัวประมาณ 13-25 เซนติเมตร น้ำหนักเฉลี่ย 0.5-1.5 กิโลกรัม เปลือกเต่ามีสีเขียวมะกอกหรือสีน้ำตาลเข้ม ลายเปลือกเป็นวงกลมเล็กๆ มีขาหลังที่สั้นและแข็งแรงสำหรับการขุดดิน
อายุขัย: 40-50 ปี
เต่ารัสเซียเป็นเต่าบกที่เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นเลี้ยง เพราะปรับตัวได้ง่าย และไม่ต้องการพื้นที่มากนัก
2. เต่ากาลาปากอส (Chelonoidis nigra)
ลักษณะทางกายภาพ: เต่ากาลาปากอสขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ยาวได้ถึง 1.2 เมตร และหนักมากกว่า 250 กิโลกรัม เปลือกมีลักษณะโค้งมน สีน้ำตาลเข้มหรือดำ แขนและขามีขนาดใหญ่ แข็งแรง
อายุขัย: 100-150 ปี
เต่ากาลาปากอสเป็นสัญลักษณ์ของความสง่างามและความยืนยาว แต่เหมาะกับผู้มีพื้นที่กว้างขวาง
3. เต่าเสือดาว (Stigmochelys pardalis)
ลักษณะทางกายภาพ: เปลือกมีลายสีเหลืองทองและจุดดำคล้ายลายเสือดาว ตัวโตเต็มที่ยาวประมาณ 40-60 เซนติเมตร น้ำหนักเฉลี่ย 15-20 กิโลกรัม มีรูปร่างเรียบเนียน
อายุขัย: 50-75 ปี
เหมาะสำหรับผู้ชอบเต่าที่มีลวดลายโดดเด่น
4. เต่าเรดฟุต (Chelonoidis carbonaria)
ลักษณะทางกายภาพ: ขนาดกลาง ยาวประมาณ 30-35 เซนติเมตร เปลือกมีสีดำถึงน้ำตาลเข้ม จุดเด่นคือขามีจุดแดงสด ตาสีแดงหรือสีส้ม ขาและหัวมีลายเป็นเอกลักษณ์
อายุขัย: 40-50 ปี
เต่าเรดฟุตเป็นสายพันธุ์ที่ดูแลง่ายและเป็นมิตร
5. เต่าดาวอินเดีย (Geochelone elegans)
ลักษณะทางกายภาพ: เปลือกมีลวดลายดาวที่ชัดเจน สีเหลืองทองตัดกับเส้นสีดำ ตัวโตเต็มที่มีความยาว 15-25 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 1-2 กิโลกรัม
อายุขัย: 50-70 ปี
เหมาะสำหรับผู้ที่มองหาเต่าที่มีความสวยงามเป็นเอกลักษณ์
6. เต่าป่าบานพับกลับ (Forest hinge-back tortoise)
ลักษณะทางกายภาพ: เปลือกหลังมีส่วนที่พับได้ มีสีดำหรือน้ำตาลเข้ม พร้อมลายจุดจางๆ ขาหลังแข็งแรงเหมาะสำหรับการเดินในป่า ตัวโตเต็มที่ยาว 20-30 เซนติเมตร
อายุขัย: 50-60 ปี
เต่าสายพันธุ์นี้ชอบอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ชุ่มชื้น
7. เต่ากรีก (Testudo graeca)
ลักษณะทางกายภาพ: ขนาดเล็กถึงกลาง ยาว 20-30 เซนติเมตร เปลือกสีเหลืองทอง มีลายสีดำที่ขอบเปลือก แขนและขามีเกล็ดชัดเจน
อายุขัย: 50-70 ปี
เต่ากรีกเป็นเต่าที่เลี้ยงง่ายและชอบอากาศร้อน
8. เต่าซูคาต้า (Geochelone sulcata)
ลักษณะทางกายภาพ: ขนาดใหญ่ เปลือกสีเหลืองทราย มีเกล็ดหนาและแข็งแรง ยาวได้ถึง 70-90 เซนติเมตร น้ำหนักมากกว่า 50 กิโลกรัม ขาหลังแข็งแรงสำหรับการขุดหลุม
อายุขัย: 70-100 ปี
เหมาะสำหรับผู้มีพื้นที่กว้างและพร้อมดูแลในระยะยาว
9. เต่าโกเฟอร์ (Gopherus polyphemus)
ลักษณะทางกายภาพ: เปลือกเรียบเนียน สีน้ำตาลเหลือง ขาสั้นและหนาแข็งแรง ตัวโตเต็มที่ยาวประมาณ 25-35 เซนติเมตร น้ำหนักเฉลี่ย 3-6 กิโลกรัม
อายุขัย: 40-60 ปี
เต่าสายพันธุ์นี้ชอบขุดดินและอยู่ในสภาพแวดล้อมแห้ง
10. เต่ากล่อง (Terrapene)
ลักษณะทางกายภาพ: เปลือกโค้งมนขนาดเล็กถึงกลาง ความยาวประมาณ 12-20 เซนติเมตร เปลือกสามารถปิดสนิทได้ มีลวดลายหลากหลายตั้งแต่จุดจนถึงเส้น สีสันเปลี่ยนแปลงตามแต่ละสายพันธุ์
อายุขัย: 30-40 ปี
เหมาะสำหรับเลี้ยงในบ้านหรือพื้นที่ขนาดเล็ก
ที่อยู่อาศัยและการดูแลเต่าบก
ขนาดกรงและการเตรียมพื้นที่
เต่าบกต้องการพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการเคลื่อนไหว กรงควรมีขนาดไม่น้อยกว่า 2-3 เท่าของตัวเต่า หากเลี้ยงในบ้านสามารถใช้กล่องหรือกรงพลาสติกขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่สำหรับเดิน ขุด และซ่อนตัวได้
ควรปูพื้นกรงด้วยวัสดุที่ปลอดภัย เช่น ดิน ทราย หรือหญ้าแห้ง หลีกเลี่ยงการใช้หญ้าพลาสติกหรือวัสดุที่อาจเป็นพิษต่อเต่า และควรมีจุดซ่อนตัว เช่น บ้านเล็กๆ หรือท่อนไม้กลวง เพื่อให้เต่ารู้สึกปลอดภัย
สภาพแวดล้อม
สภาพแวดล้อมในกรงเต่าควรเลียนแบบธรรมชาติ เช่น จัดไฟให้ความร้อนสำหรับเต่าบริเวณที่เต่าจะอาบแดด โดยควรตั้งอุณหภูมิประมาณ 30-35 องศาเซลเซียส และมีมุมร่มที่อุณหภูมิลดลงเหลือประมาณ 25 องศาเซลเซียส
นอกจากนี้ควรมีจานน้ำตื้นสำหรับเต่าแช่น้ำและดื่มน้ำ น้ำควรเปลี่ยนทุกวันเพื่อความสะอาด และจัดพื้นที่ให้มีการระบายอากาศที่ดี เพื่อป้องกันเชื้อโรคและความอับชื้น
หากเลี้ยงเต่ากลางแจ้ง ควรมั่นใจว่าพื้นที่มีรั้วกั้นเพื่อป้องกันเต่าหนี และควรระวังสัตว์นักล่า เช่น สุนัขหรือแมว
การให้อาหารเต่าชนิดอาหาร
เต่าบกส่วนใหญ่เป็นสัตว์กินพืช โดยอาหารหลักควรเป็นผักใบเขียว เช่น ผักบุ้ง ผักกาด แครอท และผลไม้บางชนิด เช่น แอปเปิล แตงโม แตงกวา เพื่อเพิ่มความหลากหลายในอาหาร
นอกจากนี้ อาจเสริมด้วยอาหารเม็ดสำหรับเต่าที่มีจำหน่ายตามร้านขายสัตว์เลี้ยง เพื่อให้เต่าได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน หลีกเลี่ยงการให้อาหารที่มีน้ำตาลสูงหรือไขมันมาก เช่น ช็อกโกแลต ขนมปัง หรืออาหารแปรรูป
เวลาในการให้
ควรให้อาหารวันละ 1-2 ครั้ง ในช่วงเช้าหรือเย็น และเฝ้าสังเกตพฤติกรรมการกินของเต่า เพื่อปรับปริมาณอาหารให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละตัว
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
- อาหารที่มีสารเคมีหรือยาฆ่าแมลงตกค้าง
- อาหารที่มีโซเดียมสูง เช่น มันฝรั่งทอดหรือขนมกรุบกรอบ
- ผักและผลไม้ที่เป็นพิษ เช่น อะโวคาโด หรือมะเขือเทศดิบ
การเลี้ยงและดูแลเต่าบก
การทำความสะอาดกรง
ควรทำความสะอาดกรงและพื้นที่เลี้ยงเต่าอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะการเก็บเศษอาหารที่เหลือ และเปลี่ยนน้ำในจานน้ำทุกวัน เพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อโรค
พื้นกรงควรเปลี่ยนหรือเติมวัสดุใหม่ทุกสัปดาห์ และล้างอุปกรณ์ต่างๆ เช่น จานน้ำ และที่ซ่อนตัวด้วยน้ำอุ่นและสบู่อ่อนๆ
โรคที่พบได้ในเต่าบก
- โรคทางเดินหายใจ: เกิดจากอากาศเย็นหรือความชื้นสูง สังเกตจากการหายใจเสียงดังหรือมีน้ำมูก
- การขาดวิตามิน A: ทำให้ตาบวมและเบื่อ
บทสรุป
การเลี้ยงเต่าเป็นงานอดิเรกที่ทั้งสนุกและมีความหมาย ไม่ว่าจะเป็นเต่ากรีกที่เหมาะกับมือใหม่ เต่ารัสเซียที่เลี้ยงง่ายในพื้นที่จำกัด หรือเต่าซูคาต้าที่เป็นยักษ์ใหญ่แสนฉลาด ทุกสายพันธุ์ล้วนมีเสน่ห์เฉพาะตัว สิ่งสำคัญในการเลี้ยงเต่าคือการศึกษาข้อมูลให้ดี เตรียมพื้นที่ให้เหมาะสม และพร้อมที่จะดูแลในระยะยาว เพราะเต่าไม่ใช่แค่สัตว์เลี้ยง แต่จะเป็นเพื่อนที่อยู่เคียงข้างคุณไปอีกหลายสิบปี หากคุณพร้อมที่จะให้ความรักและการดูแลที่ดี เต่าก็จะตอบแทนด้วยความน่ารัก ความผูกพัน และช่วงเวลาดีๆ ที่จะอยู่ในความทรงจำตลอดไป
อ่านบทความเพิ่มเติม >>>> เต่า 6 สายพันธุ์ ที่คนนิยมเลี้ยง และข้อควรรู้ !