นกเลิฟเบิร์ดเป็นสัตว์เลี้ยงที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในประเทศไทย แต่คุณรู้จักพวกมันดีแค่ไหน? หลายคนอาจคิดว่าชื่อ “เลิฟเบิร์ด” มาจากนิสัยรักใคร่กันของนกชนิดนี้ แต่จริงๆ แล้ว มีที่มาที่น่าสนใจกว่านั้น! ชื่อภาษาอังกฤษ “Lovebird” มาจากภาษาละตินว่า “Agapornis” ซึ่งแปลว่า “นกแห่งความรัก” โดยมาจากคำว่า “agape” (ความรัก) และ “ornis” (นก) ชื่อนี้ถูกตั้งโดยนักธรรมชาติวิทยาชาวเยอรมันในศตวรรษที่ 19 ไม่ใช่เพราะพฤติกรรมของนก แต่เป็นเพราะรูปร่างที่กลมป้อมและสีสันสดใสของพวกมัน ที่ทำให้นึกถึงความน่ารักและความรัก บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจโลกของนกเลิฟเบิร์ดอย่างลึกซึ้ง พร้อมเผยความลับที่น่าทึ่งที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน
ข้อมูลเฉพาะของนกเลิฟเบิร์ด
ถิ่นกำเนิด : แอฟริกาและมาดากัสการ์
ขนาดตัว : 13-17 cm
น้ำหนัก : 50 กรัม
อายุขัยเฉลี่ย : 15-20 ปี
ขนาดกรงขั้นต่ำ : 45 x 45 x 45 cm
นกเลิฟเบิร์ดราคา : 500-1000 บาท
ลักษณะและสีของนกเลิฟเบิร์ด
นกเลิฟเบิร์ดเป็นที่รู้จักจากขนหางสั้นและค่อนข้างทื่อ นอกจากขนาดของหางยังเป็นคุณสมบัติที่แตกต่างจากนกแก้วสายพันธุ์อื่นๆแล้วยังมีโครงสร้างที่แข็งแรง สีของนกสายพันธุ์นี้มีหลากหลาย
- นกเลิฟเบิร์ดหน้าแดง (Red-faced Lovebird) : มีสีเขียวตัว หน้าสีแดง
- นกเลิฟเบิร์ดฟิชเชอร์ (Fischer’s Lovebird) : มีสีเขียวสดใส หัวสีส้มหรือเหลือง
- นกเลิฟเบิร์ดแมสก์ (Masked Lovebird) : มีสีเขียว หน้าสีดำ
- นกเลิฟเบิร์ดพีชเฟส (Peach-faced Lovebird) : มีสีเขียว หน้าสีส้มอมชมพู
จึงทำให้นกเลิฟเบิร์ดเป็นนกที่มีสีสันที่สดใสมาก และสีนกที่คนนิยมนำมาเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงมากที่สุดคือสีเขียว นอกจากนี้นกเลิฟเบิร์ดหน้าพีชก็ยังเป็นที่นิยมเช่นกัน เนื่องจากง่ายต่อการผสมพันธุ์อย่างไรก็ตาม ยังมีนกเลิฟเบิร์ดในบางชนิด ที่มีวงแหวนตาสีขาวที่โดดเด่นซึ่งเป็นลักษณะของนกแก้ว นกเลิฟเบิร์ดหน้าพีชและสวินเดิร์นไม่มีคุณสมบัตินี้
กรงและที่อยู่อาศัยนกเลิฟเบิร์ด
ขนาดกรง : ควรมีขนาดอย่างน้อย 60x60x60 เซนติเมตร สำหรับนก 1 คู่
วัสดุ : ควรเป็นโลหะที่แข็งแรง ไม่เป็นสนิม เช่น สแตนเลส
ช่องห่างของลวด : ไม่ควรเกิน 1.5 เซนติเมตร เพื่อป้องกันนกติดหรือหลุดออก
อุปกรณ์เสริม
- คอนนกเกาะหลายระดับ
- ที่ให้อาหารและน้ำ
- ของเล่นที่ปลอดภัย เช่น ชิงช้า กระจก
- รังนอนหรือกล่องทำรัง
ตำแหน่ง : วางในที่ที่มีแสงธรรมชาติ แต่ไม่โดนแดดโดยตรง และห่างจากลมโกรก
การเลี้ยงและดูแลนกเลิฟเบิร์ด
การดูแลนกเลิฟเบิร์ดประจำวันประกอบด้วย
- ตรวจสุขภาพ : สังเกตพฤติกรรมและลักษณะทางกายภาพทุกวัน พาไปพบสัตวแพทย์ปีละ 1-2 ครั้ง
- ทำความสะอาดกรง : ทำความสะอาดกรงและอุปกรณ์ทุกวัน ล้างทำความสะอาดครั้งใหญ่สัปดาห์ละครั้ง
- เติมอาหารและน้ำ : ให้อาหารและน้ำสะอาดทุกวัน
- ตัดเล็บและจงอยปาก : ตัดแต่งเมื่อยาวเกินไป
- อาบน้ำ : ให้นกได้อาบน้ำหรือพ่นละอองน้ำ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์
เพื่อให้นกเลิฟเบิร์ดเชื่องและเลี้ยงง่ายควรมีการฝึกอบรบอย่างสม่ำเสมอ การเลือกซื้อลูกนกตั้งแต่ยังเป็นทารกและเลี้ยงด้วยมือจะช่วยทำให้นกเลิฟเบิร์ดเชื่องง่ายขึ้น หากคุณซื้อนกที่มีอายุมาขึ้น ควรเลือกนกที่ได้รับการดูแลเป็นประจำและได้รับการฝึกฝนมาโดยพอประมาณ
และเพื่อให้การเลี้ยงนกง่ายขึ้นสำหรับตัวคุณเองหลากคนมักเข้าใจผิดอยู่เสมอและคิดว่าการเลี้ยงนกเลิฟเบิร์ดควรเลี้ยงไว้เป็นคู่เสมอ นกเลิฟเบิร์ดสามารถเลี้ยงเดี่ยวได้ หากนกเลิฟเบิร์ดได้รับการดูแลเอาใจใส่จากเจ้าของมากพอ คุณสามารถเลี้ยงนกเลิฟเบิร์ดโดยไม่ต้องมีคู่ได้
อาหารนกเลิฟเบิร์ด
อาหารที่เหมาะสมสำหรับนกเลิฟเบิร์ดประกอบด้วย
- เมล็ดพืช : ควรเป็นส่วนประกอบหลัก 60-70% ของอาหาร เช่น เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่าง ข้าวโอ๊ต
- ผักและผลไม้สด : 20-30% ของอาหาร เช่น แอปเปิ้ล แครอท ผักโขม
- อาหารเม็ดสำเร็จรูป : เป็นแหล่งวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญ
- โปรตีน : เสริมด้วยไข่ต้มสุก หรือถั่วที่ไม่เค็ม
- น้ำสะอาด : เปลี่ยนทุกวัน
- อาหารเสริม : แคลเซียมและวิตามินตามคำแนะนำของสัตวแพทย์
หลีกเลี่ยงอาหารที่มีเกลือ น้ำตาล หรือไขมันสูง และอาหารที่เป็นพิษต่อนก เช่น อโวคาโด ช็อกโกแลต กระเทียม
อย่างไรก็ตาม คุณต้องจำกัดปริมาณเพื่อหลีกเลี่ยงการให้อาหารมากไปซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคร้ายแรงของนกเช่นโรคอ้วน สารอาหารที่จำเป็นต่อนกเลิฟเบิร์ด น้ำ โปรตีน คาร์โบไฮเดรตและไฟเบอร์ ไขมัน แร่ธาตุ และวิตามิน
เสียงของนกเลิฟเบิร์ด
นกเลิฟเบิร์ดมีเสียงที่เป็นเอกลักษณ์
- เสียงร้องปกติ : มักเป็นเสียงแหลมสั้นๆ คล้าย “chirp” หรือ “tweet”
- เสียงเรียกคู่ : เสียงยาวและดังกว่าปกติ ใช้เรียกคู่หรือเจ้าของ
- เสียงขู่ : เสียงแหลมและดัง แสดงถึงความไม่พอใจหรือรู้สึกถูกคุกคาม
- เสียงพึมพำ : เสียงเบาๆ ต่อเนื่อง แสดงถึงความพอใจหรือผ่อนคลาย
- การเลียนเสียง : บางตัวสามารถเลียนเสียงค้าพูดง่ายๆ หรือเสียงในบ้านได้
ความถี่และความดังของเสียงอาจแตกต่างกันไปในแต่ละตัว และขึ้นอยู่กับอารมณ์และสภาพแวดล้อม เลิฟเบิร์ดเป็นนกช่างพูดที่ชอบร้องเพลงและผิวปากทั้งวัน แต่นกเลิฟเบิร์ดจะเปล่งเสียงโดยเฉพาะในช่วงเช้าและช่วงค่ำ ด้วยการเปล่งเสียงทั้งหมดนั้น
10 วิธีเลี้ยงนกเลิฟเบิร์ดให้เชื่อง
ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำในการเลี้ยงนกเลิฟเบิร์ดให้เชื่อง
- เริ่มต้นตั้งแต่อายุน้อย : ควรเริ่มฝึกนกตั้งแต่อายุยังน้อย จะทำให้นกคุ้นเคยกับมนุษย์ได้ง่ายขึ้น
- ให้เวลาปรับตัว : เมื่อนำนกมาเลี้ยงใหม่ ควรให้เวลานกปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่สักระยะ
- พูดคุยกับนกสม่ำเสมอ : ใช้น้ำเสียงนุ่มนวลพูดคุยกับนกบ่อยๆ เพื่อให้นกคุ้นเคยกับเสียงของคุณ
- ให้อาหารด้วยมือ : ลองป้อนอาหารด้วยมือเพื่อสร้างความไว้วางใจ
- ฝึกให้เกาะนิ้ว : ค่อยๆ ฝึกให้นกเกาะบนนิ้วของคุณ โดยใช้ขนมเป็นรางวัล
- ให้รางวัลเมื่อนกทำดี : ให้ขนมหรือคำชมเชยเมื่อนกแสดงพฤติกรรมที่ดี
- ฝึกอย่างสม่ำเสมอ : ใช้เวลาฝึกนกทุกวัน วันละ 10-15 นาที
- มีความอดทน : การฝึกนกต้องใช้เวลา อย่ารีบร้อนหรือบังคับนก
- สร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย : ให้นกรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่กับคุณ
- ให้ของเล่นและกิจกรรม : จัดหาของเล่นและกิจกรรมที่กระตุ้นความสนใจของนก
ปัญหาสุขภาพทั่วไปของนกเลิฟเบิร์ด
นกเลิฟเบิร์ดมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคหนองในเทียม เป็นโรคที่เกิดจาก Chlamydia psittaci ทำให้เกิดความอยากอาหารและน้ำหนักลด เฉื่อยชา น้ำมูกไหล มูลเปียก ตัวสั่น และหายใจลำบาก แบคทีเรียยังอาจส่งผลต่ออวัยวะของนก เช่น ตับ ม้าม ทางเดินหายใจและระบบย่อยอาหารนอกจากนี้ อีกหนึ่งโรคที่พบได้ในนกเลิฟเบิร์ดบ่อยคือ การขาดสารอาหารที่เกี่ยวข้องกับการรับประทานอาหารที่ไม่เพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากได้รับอาหารที่มีเมล็ดพืชเป็นส่วนใหญ่
พฤติกรรมของนกเลิฟเบิร์ดตัวผู้และตัวเมีย
พฤติกรรมนกเลิฟเบิร์ดตัวผู้
- ก้าวร้าวและแสดงความเป็นเจ้าของ : ป้องกันอาณาเขต ขู่สิ่งแปลกปลอม
- เกี้ยวพาราสีอย่างชัดเจน : เต้นรำ ร้องเพลง ป้อนอาหารตัวเมีย
- เลียนเสียงเก่ง : เลียนเสียงสิ่งแวดล้อม บางตัวพูดคำง่ายๆ ได้
- กระตือรือร้น พลังงานสูง : ชอบเล่น สำรวจ เรียกร้องความสนใจ
- แสดงความเป็นผู้นำ : นำในการบิน ตัดสินใจเลือกที่เกาะ
- พฤติกรรมช่วงผสมพันธุ์ : เกี้ยวพาราสีมากขึ้น ก้าวร้าวขึ้น ช่วยสร้างรัง
พฤติกรรมนกเลิฟเบิร์ดตัวเมีย
- สร้างรัง : มีสัญชาตญาณในการรวบรวมวัสดุและสร้างรังอย่างจริงจัง
- ความเป็นแม่สูง : ดูแลไข่และลูกนกอย่างใกล้ชิด ป้องกันรังจากผู้บุกรุก
- สงบกว่าตัวผู้ : โดยทั่วไปมีพฤติกรรมที่เงียบและสงบกว่า
- เลือกคู่ : มักเป็นฝ่ายเลือกคู่และตอบสนองต่อการเกี้ยวพาราสีของตัวผู้
- ระมัดระวัง : มีความระมัดระวังสูงเมื่อเจอสิ่งแปลกใหม่หรือการเปลี่ยนแปลง
- พฤติกรรมช่วงผสมพันธุ์ : กินอาหารมากขึ้น เตรียมพร้อมวางไข่ อารมณ์แปรปรวนได้
- การสื่อสาร : ใช้ภาษากายและเสียงร้องเบาๆ สื่อสารกับคู่และลูก
7 วิธีเข้าคู่นกเลิฟเบิร์ด
1. แยกเพศให้ชัดเจน เลิฟเบิร์ดมีลักษณะเพศที่คล้ายกันทำให้ยากในการแยกเพศ แต่สามารถแยกได้ด้วยการตรวจ DNA หรือสังเกตพฤติกรรม นกตัวเมียจะมีท่าทางก้าวร้าวและใหญ่กว่าตัวผู้เล็กน้อย
2. เลือกคู่ที่เข้ากันได้ สังเกตว่านกสองตัวมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีหรือไม่ นกที่เข้ากันได้จะทำความสะอาดขนให้กันและกัน อยู่ใกล้กันบ่อย ๆ ถ้ามีท่าทางก้าวร้าวควรหาคู่ใหม่ที่เหมาะสมกว่า
3. เตรียมกรงหรือพื้นที่สำหรับผสมพันธุ์ กรงที่ใหญ่และมีพื้นที่เพียงพอจะช่วยให้นกมีความเป็นส่วนตัว ควรเตรียมรังหรือกล่องที่นกสามารถสร้างรังได้ นอกจากนี้ยังต้องจัดสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบและไม่มีสิ่งรบกวน
4. ดูแลเรื่องอาหาร ให้อาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น เมล็ดพืช ผัก และผลไม้ เพื่อให้นกมีพลังงานและสุขภาพที่ดีต่อการผสมพันธุ์
5. การติดตามผลหลังการผสมพันธุ์ หลังจากที่นกผสมพันธุ์แล้วให้สังเกตว่าตัวเมียเริ่มสร้างรังและวางไข่หรือไม่ หากตัวเมียวางไข่ นกตัวผู้จะช่วยดูแลและปกป้องรังด้วย
6. การตรวจสอบไข่และการฟักไข่ ตรวจสอบไข่หลังจากวางไข่ไปแล้ว 7-10 วันเพื่อตรวจดูว่ามีการพัฒนาหรือไม่ ถ้าไข่ไม่ฟักอาจต้องพิจารณาเรื่องความชื้นหรืออุณหภูมิภายในกรง
การเข้าคู่เลิฟเบิร์ดต้องใช้ความอดทนและการสังเกตพฤติกรรมของนกแต่ละตัว เพื่อให้ได้คู่ที่เหมาะสมและมีการผสมพันธุ์ที่ประสบความสำเร็จ
ข้อดี
1. นกเลิฟเบิร์ดมีบุคลิกภาพที่เป็นมิตรและเข้าสังคม ส่วนใหญ่ชอบคุยกับเจ้าของ แม้ว่าเสียงร้องของมันจะไม่ใกล้เคียงกับทักษะของนกแก้วพูดได้ แต่ก็ยังพยายามสื่อสารกับเจ้าของอย่างต่อเนื่อง
2. เลี้ยงง่าย คุณไม่จำเป็นต้องทำงานหนักมากในการทำเช่นนั้น สิ่งที่คุณต้องมีคือดูแลและใส่ใจนกเลิฟเบิร์ดสม่ำเสมอ หากคุณพึ่งนำนกตัวใหม่มาเลี้ยงให้เวลานกเลิฟเบิร์ดปรับตัว โดยปกติจะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์
3. อาหารหาง่าย นกเลิฟเบิร์ดไม่ต้องการอาหารชนิดพิเศษ อาหารของพวกเขาเข้าถึงได้ง่ายและราคาถูก นกเลิฟเบิร์ดส่วนใหญ่กินเมล็ดพืช ผลไม้ และผลเบอร์รี่ที่หาได้ง่ายในท้องตลาด แม้แต่สิ่งเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่อยู่ในครัวเสมอ
4. เพิ่มความสวยงามให้กับบ้านของคุณ คนส่วนใหญ่เลี้ยงนกไว้ที่บ้านเพื่อเพิ่มความสวยงามให้กับบ้าน นกเลิฟเบิร์ดหลากสี สามารถเพิ่มชีวิตชีวาให้กับห้องเล็กๆ ของคุณได้ สีที่ทันสมัยที่สุดสำหรับนกเลิฟเบิร์ดส่วนใหญ่จะเป็นขนนกสีเขียว
ข้อเสีย
1. นกเลิฟเบิร์ดอาจมีเสียงดัง ถ้าคุณชอบความเงียบในบ้านของคุณ นกเลิฟเบิร์ดไม่ใช่สายพันธุ์ที่แนะนำ พวกเขาชอบส่งเสียงดังและพยายามสื่อสารกับเจ้าของ หากคุณวางกรงไว้ข้างทีวีหรือเครื่องเล่นเสียงใดๆ ก็ตามนกเลิฟเบิร์ดก็จะยิ่งดังขึ้นไปอีก ที่จริงแล้ว พวกเขายังชอบร้องเพลงไปพร้อมกับเพลงที่เล่นในเครื่องเล่นเสียงอีกด้วย
2. กัดได้ แม้ว่านกเลิฟเบิร์ดจะไม่กัดเจ้าของเป็นประจำ แต่การถูกกัดเป็นครั้งคราวก็ทำให้เจ็บปวดได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อคุ้นเคยกับเจ้าของแล้ว มันจะไม่ทำร้ายคุณอีกต่อไป
3. พฤติกรรมที่เป็นมิตรของนกเลิฟเบิร์ดนั้นจำกัดอยู่ที่เจ้าของและนกอื่นๆ ในสายพันธุ์เดียวกันเท่านั้น หากคุณกำลังวางแผนที่จะเลี้ยงนกที่ไม่ใช่นกเลิฟเบิร์ดในกรงเดียวกันกับนกเลิฟเบิร์ด
มันอาจไม่ใช่ความคิดที่ดีที่สุด เพราะนกเลิฟเบิร์ดมีความคิดที่ดุดันสำหรับนกตัวอื่น
สรุป
หากคุณต้องการนกตัวใดตัวหนึ่งรวมถึงนกเลิฟเบิร์ดเป็นสัตว์เลี้ยง คุณต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวคุณเอง หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยมีนกที่บ้านมาก่อน นกแก้วตัวเล็กควรมีความสำคัญเป็นอันดับแรกและสำคัญที่สุด นกเลิฟเบิร์ดมีความสวยงาม สีสัน และชอบเล่นกับเจ้าของ และเมื่อพูดถึงเรื่องงบประมาณ พวกเขาเป็นมิตรกับงบประมาณและไม่ต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นนกเลิฟเบิร์ดหรือสายพันธุ์ต่างๆ นกเลิฟเบิร์ดจะเพิ่มความสวยงามอย่างน่าทึ่งให้กับบ้านและสวนของคุณ
อ่านบทความเพิ่มเติม >> นกแก้วควรใช้คอนนกแบบไหน